Course Content
พันธุกรรมและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้เทคโนโลยีชีวภาพที่มีผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
0/8
ระบบนิเวศ
ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
0/7
วัสดุในชีวิตประจำวัน
ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.3/1 ระบุสมบัติทางกายภาพและการใช้ประโยชน์วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และ วัสดุผสม โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และสารสนเทศ
0/6
ปฏิกิริยาเคมี
ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี
0/7
วิทยาศาสตร์ ว23101 มัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1
About Lesson

                                                ปฏิกิริยาเคมี 

คือ กระบวนการที่เกิดจากการที่สารเคมีเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วส่งผลให้เกิดสาร ใหม่ขึ้นมาซึ่งมีคุณสมบัติเปลี่ยนไปจากเดิม การเกิดปฏิกิริยาเคมีจำเป็นต้องมีสารเคมีตั้งต้น 2 ตัวขึ้นไป (เรียกสารเคมีตั้งต้นเหล่านี้ว่า “สารตั้งต้น” หรือ reactant)ทำปฏิกิริยาต่อกัน และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในคุณสมบัติทางเคมี ซึ่งก่อตัวขึ้นมาเป็นสารใหม่ที่เรียกว่า “ผลิตภัณฑ์” (product) ซึ่งสารผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติทางเคมีที่เปลี่ยนไปจากเดิม

หลังจากการเกิดปฏิกิริยาเคมีอะตอมทั้งหมดของสารตั้งต้นไม่มีการสูญหายไปไหนแต่เกิดการแลกเปลี่ยนจากสารหนึ่งไปสู่อีกสารหนึ่ง
ซึ่งจะเห็นได้จากผลรวมของอะตอมของสารตั้งต้นจะเท่ากับผลรวมของอะตอมของผลิตภัณฑ์

ปฏิกิริยาเคมีมีขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงตามลำดับผังเหตุการณ์ ต่อไปนี้

ข้อสังเกตการเกิดปฏิกิริยา

สารใหม่ที่เกิดขึ้นในปฏิกิริยาเคมี สังเกตได้ดังนี้

1. สี เช่น สารเดิมไม่มีสีเมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี จะมีสีใหม่เกิดขึ้น (สารใหม่)
2. กลิ่น เช่น เกิดกลิ่นฉุน กลิ่นเหม็น กลิ่นหอม
3. ตะกอน เช่น สารละลายเลด (II) ไนเตรต และโพแทสเซียมไอโอไดด์ เป็นของเหลวใส ไม่มีสี เมื่อผสมกันแล้วเกิดตะกอนสีเหลือง
4. ฟองแก๊ส เช่น กรดไฮโดรคลอริก ผสมกับหินปูนหรือแคลเซียมคาร์บอเนตเกิดฟองแก๊สขึ้น
5. เกิดการระเบิด หรือเกิดประกายไฟ เช่น ใส่โลหะโซเดียมลงในน้ำจะเกิดประกายไฟขึ้น
6. มีอุณหภูมิเปลี่ยน ซึ่งสารโดยทั่วไปเมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีจะเกิดการเปลี่ยนแปลง พลังงาน ความร้อนควบคู่ไปด้วยเสมอ

หมายเหตุ การเปลี่ยนแปลงต่อไปนี้เกิดปฏิกิริยาเคมีแน่นอน

1. การสันดาป หมายถึง การที่สารทำปฏิกิริยากับแก็สออกซิเจน
2. การหมัก เช่น การหมักแป้งเป็นน้ำตาล
3. กระบวนการเมแทบอลิซึม ( ปฏิกิริยาในสิ่งมีชีวิต ) เช่น การย่อยอาหาร การหายใจ เป็นต้น
4. การถลุงแร่ การเกิดสนิม ปฏิกิริยาในแบตตารี่

ปฏิกิริยาเคมีเกี่ยวข้องกับสาร 2 พวก คือ

     1. สารตั้งต้น (reactant) คือ สารที่เข้าทำปฏิกิริยากัน

    2. ผลิตภัณฑ์ (product) คือ สารใหม่ที่เกิดขึ้นมีสมบัติต่างจากสารตั้งต้น

      ปฏิกิริยาเคมีต่างๆ เราสามารถเขียนอธิบายให้อยู่ในรูปของสมการเคมี ซึ่งมีหลักการเขียนที่เป็นสากลอยู่หลายประการ เช่น การกำหนดสารตั้งต้นและสารผลิตภัณฑ์ การดุลสมการ การระบุเงื่อนไขอื่นๆ เป็นต้น

ภาพ : shutterstock.com

      ปฏิกิริยาเคมีเป็นกระบวนการที่ทำให้สารตั้งต้น เกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นผลิตภัณฑ์ กระบวนการที่เกิดขึ้นสามารถเขียนแทนด้วยสมการเคมี ซึ่งมีหลักการดังนี้

     1.  เขียนสารตั้งต้นไว้ทางซ้ายมือ ผลิตภัณฑ์ไว้ทางขวามือ ของเครื่องหมายลูกศร

    2.  ถ้าต้องการแสดงสถานะของสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ ให้ใช้ตัวย่ออยู่ในวงเล็บ ท้ายสูตรโมเลกุลของสาร เช่น (s) แทน ของแข็ง, (l) แทน ของเหลว, (g) แทน แก๊ส หรือ (aq) แทน สารละลาย

         อาจระบุเงื่อนไขอื่นในสมการเคมี เช่น 

          ∆→  แสดงว่า ปฏิกิริยานั้นต้องใช้ความร้อน

          hv→   แสดงว่า ปฏิกิริยานั้นต้องใช้แสง

    3.ดุลสมการให้ถูกต้อง หลักการของการดุลสมการเคมี คือ ต้องมีจำนวนอะตอมของแต่ละธาตุเท่ากันทั้งสองด้านของลูกศร เช่น

ปฏิกิริยาเคมีอย่างง่ายแสดงการรวมกันของแก๊สไฮโดรเจนและแก๊สออกซิเจนกลายเป็นน้ำ เป็นดังนี้

                                             2H2+O2→2H2O

ถ้าใช้รูปแทนสารแต่ละชนิดจะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นดังนี้

                      (ไฮโดรเจน 4 อะตอม    + ออกซิเจน 2 อะตอม น้ำ 2 โมเลกุล

สมการนี้ดุลแล้ว เพราะจำนวนอะตอมไฮโดรเจนทางซ้ายและทางขวาของลูกศรเท่ากัน (= 4 อะตอม) จำนวนอะตอมออกซิเจนทางซ้ายและทางขวาของลูกศรก็เท่ากัน (= 2 อะตอม)