เลขยกกำลัง
กำหนดให้ a เป็นจำนวนใด ๆ และ n เป็นจำนวนเต็มบวก
an = a x a x a x … x a จำนวน n ตัว
เรียก a ว่า ฐาน และเรียก n ว่า เลขชี้กำลัง
เลขยกกำลังคืออะไร ?
ถ้าจำนวนที่คูณตัวเองซ้ำกันหลาย ๆ ตัว เราจะเขียนจำนวนเหล่านั้นออกมาในรูปของเลขยกกำลัง โดยจำนวนที่คูณตัวเองซ้ำ ๆ จะเรียกว่า “ฐาน” และจำนวนตัวที่คูณ จะเรียกว่า “เลขชี้กำลัง”เพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น เพื่อน ๆ ลองนึกถึงการพับกระดาษ 1 แผ่น
พับกระดาษ 1 ครั้ง กระดาษถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
พับกระดาษ 2 ครั้ง กระดาษถูกแบ่งออกเป็น 2 x 2 = 4 ส่วน
พับกระดาษ 3 ครั้ง กระดาษถูกแบ่งออกเป็น 2 x 2 x 2 = 8 ส่วน
.
.
.
พับกระดาษ 10 ครั้ง กระดาษถูกแบ่งออกเป็น 2 x 2 x 2 x 2 x 2 x 2 x 2 x 2 x 2 x 2 = 1,024 ส่วน
กระดาษพับซ้อนกัน 1,024 ทบนี่หนามาก ๆ เลย และในชีวิตจริง ถ้าต้องเขียน 2 x 2 x 2 x … x 2 ให้ครบตามต้องการก็คงจะเหนื่อยและเสียเวลามาก ๆ นักคณิตศาสตร์จึงนิยมเขียนออกมาในรูปของ “เลขยกกำลัง” ซึ่งประกอบไปด้วยฐานและเลขชี้กำลัง เราสามารถเขียน 2 x 2 x 2 x 2 x 2 x 2 x 2 x 2 x 2 x 2 ให้อยู่ในรูปเลขยกกำลังได้ว่า 210 ซึ่ง 2 คือฐาน และ 10 คือเลขชี้กำลัง และจะอ่าน 210 ว่า…
2 กำลัง 10
2 ยกกำลัง 10
หรือ กำลัง 10 ของ 2
เลขยกกำลัง ฐาน และเลขชี้กำลัง
จำนวนที่สามารถเป็นฐานได้มีหลายรูปแบบ เช่น จำนวนเต็มบวก จำนวนเต็มลบ เศษส่วน ทศนิยม ยกตัวอย่างเช่น 24 (-2)4 ( )2 0.45
ข้อสังเกต: อ่านไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์ไม่เท่ากัน
ลบสองทั้งหมดยกกำลังสี่
(-2)4 = (-2)(-2)(-2)(-2) = 16
ลบสองยกกำลังสี่
-24 = – (2 x 2 x 2 x 2) = -16
จะเห็นว่า (-2)4 มีค่าไม่เท่ากับ -24 แค่ใส่วงเล็บ ผลลัพธ์ก็ต่างกันแล้ว ดังนั้นเพื่อน ๆ ต้องระวังการใส่วงเล็บให้ดีนะ เราลองมาดูตัวอย่างอื่น ๆ เพิ่มกันดีกว่า
54 = 5 x 5 x 5 x 5 = 625
(5)4 = (5)(5)(5)(5) = 625
-54 = -(5 x 5 x 5 x 5) = -(625) = -625
(-5)4 = (-5)(-5)(-5)(-5) = (25)(25) = 625
กรณีนี้ เลขชี้กำลังเป็นจำนวนคู่ สำหรับฐานที่เป็นจำนวนลบ จะเห็นว่า (-5)4 เท่ากับ 54 แต่ไม่เท่ากับ -54 อย่าลืมสังเกตให้ดีนะว่าเครื่องหมายลบอยู่ข้างในหรือข้างนอกวงเล็บ
53 = 5 x 5 x 5 = 125
-53 = -(5 x 5 x 5) = -125
(-5)3 = (-5)(-5)(-5) = -125
กรณีนี้ เลขชี้กำลังเป็นจำนวนคี่ สำหรับฐานที่เป็นจำนวนลบ จะเห็นว่า (-5)3 เท่ากับ -53 แต่ (-5)3 ไม่เท่ากับ 53
*ข้อสังเกต*
ถ้าฐานเป็นจำนวนลบ เลขชี้กำลังเป็นจำนวนคี่ > ได้ผลลัพธ์เป็นจำนวนลบ
ถ้าฐานเป็นจำนวนลบ เลขชี้กำลังเป็นจำนวนคู่ > ได้ผลลัพธ์เป็นจำนวนบวก
จากตัวอย่างที่ผ่านมา เราสามารถสรุปเป็นตารางได้ว่า
ฐานเลขชี้กำลัง เลขชี้กำลัง
จำนวนคี่ จำนวนคู่
ฐาน จำนวนบวก ผลลัพธ์เป็นจำนวนบวก ผลลัพธ์เป็นจำนวนบวก
จำนวนลบ ผลลัพธ์เป็นจำนวนลบ ผลลัพธ์เป็นจำนวนบวก
การคูณเลขยกกำลัง เมื่อเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก
สมบัติของการคูณเลขยกกำลัง
ถ้า a เป็นจำนวนใดๆ m และ n เป็นจำนวนเต็มบวก แล้ว
1) am x an = am + n (ถ้าเลขยกกำลังฐานเหมือนกันคูณกัน ให้นำเลขชี้กำลังมาบวกกัน)
2) (am)n = amn (นำเลขชี้กำลัง n ไปคูณกับ m )
3) (a x b)n = an x bn (นำเลขชี้กำลัง n ไปยกกำลังทุกตัวในวงเล็บ)
ตัวอย่างที่ 1-3
ตัวอย่างต่อไปนี้ เน้นไปที่การใช้สมบัติการคูณของเลขยกกำลัง ทั้งสามสมบัติ โดยได้ยกมาหลายๆตัวอย่าง เพื่อให้สามารถหาคำตอบของเลขยกกำลังได้อย่างง่ายดาย และเลือกใช้สมบัติในการหาคำตอบได้อย่างถูกต้อง
ตัวอย่างที่ 1 จงหาค่าของจำนวนต่อไปนี้
1) 2³x 2²
2) 3³x 3²
3) 5³x 5⁹
4) (-7)⁵ x (-7)¹²
5) (0.02)² x (0.02)⁷
วิธีทำ 1) 2³x 2²
เนื่องจากฐานทั้ง 2 เท่ากัน นำเลขชี้กำลังมาบวกกัน จะได้
2³x 2² = 2³⁺²
= 2⁵
ตอบ 2⁵
2) 3³x 3²
เนื่องจากฐานทั้ง 2 เท่ากัน นำเลขชี้กำลังมาบวกกัน จะได้
3³x 3² = 3³⁺²
= 3⁵
ตอบ 3⁵
3) 5³x 5⁹
เนื่องจากฐานทั้ง 2 เท่ากัน นำเลขชี้กำลังมาบวกกัน จะได้
5³x 5⁹ = 5³⁺⁹
= 5¹²
ตอบ 5¹²
4) (-7)⁵ x (-7)¹²
เนื่องจากฐานทั้ง 2 เท่ากัน นำเลขชี้กำลังมาบวกกัน จะได้
(-7)⁵ x (-7)¹² = (-7)⁵⁺¹²
= (-7)¹⁷
ตอบ (-7)¹⁷
5) (0.02)² x (0.02)⁷
เนื่องจากฐานทั้ง 2 เท่ากัน นำเลขชี้กำลังมาบวกกัน จะได้
(0.02)² x (0.02)⁷ = (0.02)²⁺⁷
= (0.02)⁹
ตอบ (0.02)⁹
จากตัวอย่างที่ 1 เป็นไปตามสมบัติของเลขยกกำลัง ข้อที่ 1) am x an = am + n
ตัวอย่างที่ 2 จงหาค่าของจำนวนต่อไปนี้
1) (9²)³
2) (y⁶)²
3) (3²)⁵
วิธีทำ 1) (9²)³ = 9²x³ (นำเลขชี้กำลังมาคูณกัน คือ 2 x 3)
= 9⁶
ตอบ 9⁶
2) (y⁶)² = y⁶x² (นำเลขชี้กำลังมาคูณกัน คือ 6 x 2)
= y¹²
ตอบ y¹²
3) (3²)⁵ = 3²x⁵
= 3¹⁰
ตอบ 3¹⁰
จากตัวอย่างที่ 2 เป็นไปตามสมบัติของเลขยกกำลัง ข้อที่ 2) (am)n = amn
ตัวอย่างที่ 3 จงหาค่าของ
1) (5 x 2)³
2) (z x p)²
วิธีทำ 1) (5 x 2)³ = 5³ x 2³ (นำ 3 ไปยกกำลังทุกจำนวน)
ตอบ 5³ x 2³
2) (z x p)² = z² x p² (นำ 2 ไปยกกำลังทุกจำนวน)
ตอบ z² x p²
จากตัวอย่างที่ 3 เป็นไปตามสมบัติของเลขยกกำลัง ข้อที่ 3) (a x b)n = an x bn
ตัวอย่างที่ 4-5
ตัวอย่างต่อไปนี้ ฐานของเลขยกกำลัง มีทั้ง จำนวนเต็ม เศษส่วน และทศนิยม แต่ไม่ว่าฐานจะเป็นยังไง เราก็สามารถหาคำตอบได้เสมอ โดยการทำฐานให้เท่ากัน เมื่อฐานเท่ากันแล้ว ให้นำเลขชี้กำลังมาบวกกัน
ตัวอย่างที่ 4 จงหาค่าของผลคูณของเลขยกกำลังต่อไปนี้ โดยให้เลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก
1) 2 x 8²
2) (0.5)³ x (½)²
3) (-5)⁴ x 5³
4) (-3)⁴ x 9 x 27
วิธีทำ 1) 2 x 8² = 2 x (2³)² (ทำฐานให้เท่ากัน ซึ่ง 8 = 2³)
= 2 x 2³x²
= 2 x 2⁶ (ฐานเป็น 2 ที่ไม่เขียนเลขชี้กำลัง นั่นคือ เลขชี้กำลังเป็น 1)
= 2¹⁺ ⁶ (เมื่อฐานเท่ากันแล้ว ให้นำเลขชี้กำลังมาบวกกัน )
= 2⁷
ตอบ 2⁷
2) (0.5)³ x (½)² = (½)³ x (½)² (ทำฐานให้เท่ากัน ซึ่ง 0.5 = ½)
= (½)³⁺² (เมื่อฐานเท่ากันแล้ว ให้นำเลขชี้กำลังมาบวกกัน)
= (½)⁵
ตอบ (½)⁵
3) เนื่องจาก (-5)⁴ = (-5) x (-5) x (-5) x (-5) = 5⁴
จะได้ (-5)⁴ x 5³ = 5⁴ x 5³
= 5⁴⁺³
= 5⁷
ตอบ 5⁷
4) เนื่องจาก (-3)⁴ = (-3) x (-3) x (-3) x (-3) = 3⁴
9 = 3²
27 = 3³
จะได้ (-3)⁴ x 9 x 27 = 3⁴ x 3² x 3³
= 3⁴⁺²⁺³
= 3⁹
ตอบ 3⁹
ตัวอย่างที่ 5 จงหาค่าของ a² b³ x a³b
วิธีที่ 1 a² b³ x a³b = (a x a x b x b x b) x (a x a x a x b)
= (axaxaxaxa) x (bxbxbxb)
= a⁵x b⁴
= a⁵b⁴
วิธีที่ 2 a² b³ x a³b = a² x b³x a³x b
= a² x a³x b³x b
= a²⁺³ x b³⁺¹
= a⁵ x b⁴
= a⁵b⁴
เลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์
เลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ หมายถึง การเขียนตัวเลข ทั้งตัวเลขจำนวนเต็ม และจำนวนไม่เต็ม ให้อยู่ในรูปแบบเลขยกกำลัง หรือ เรียกอีกอย่างว่า เลขยกกำลังฐานสิบ
การเขียนสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ จะใช้เลขจำนวนเต็มคูณกับเลขยกกำลัง โดยเลขยกกำลังจะใช้เลขฐานสิบ และใช้เลขยกกำลังเป็นเลขจำนวนเต็ม หรือเขียนในสมการอย่างง่ายเป็น
A x 10n
โดยที่
A หมายถึง ตัวเลขที่น้อยกว่า 1 แต่ไม่มากกว่า 10 (1≤A<10)
10 หมายถึง ค่าคงที่เลขฐานสิบ
n หมายถึง จำนวนเต็มลบ และเต็มบวกทุกตัวเลข
ประเภทเลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์
- เลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์เชิงลบ
เลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์เชิงลบ หมายถึง ตัวเลขที่เป็นตัวเลขทศนิยมที่มีเลข 0 อยู่ด้านหน้าเป็นต้นไป เช่น 0.1 เขียนเลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์เชิงลบเป็น 1 x 10-1 หรือ 0.001 เขียนเลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์เชิงลบเป็น 1 x 10-3 เป็นต้น
- เลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์เชิงบวก
เลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์เชิงบวก หมายถึง ตัวเลขจำนวนเต็มที่ถูกเขียนไว้ด้านหน้า และหลังจุดทศนิยมทุกจำนวน เช่น 100 เขียนเลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์เชิงลบเป็น 1 x 102, 120.00 หรือ 120 (ไม่มีทศนิยม) เขียนเลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์เชิงลบเป็น 1.2 x 10-2 เป็นต้น
ประโยชน์เลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์
- ใช้เพื่อบ่งบอกให้ทราบว่าต้องนับเลขนัยสำคัญตามจำนวนเลขยกกำลังที่เป็นบวกเท่านั้น เช่น 1.1 x 103เขียนมาจาก 1100 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเลข 1100 ให้นับเลขนัยสำคัญเป็นจำนวน 4 ตัว
- ใช้สำหรับเขียนเป็นสัญลักษณ์ย่อสำหรับตัวเลขจำนวนมาก เพื่อให้กระชับ และเข้าใจในความหมายของตัวเลขได้ง่าย เช่น ตัวเลข 0.001 เขียนเลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์เป็น 1 x 103
หลักการใช้เลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์
- เลขจำนวนเต็ม เช่น 1200 และเลขทศนิยม เช่น 0.125 สามารถเขียนเป็นเลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ได้ทุกกรณี
- เลขตัวคูณ ทั้งสามารถเขียนเป็นตัวเลขจำนวนเต็ม และเลขทศนิยมได้ทุกกรณี เช่น 1 x 105 เลขตัวคูณ คือ 1 หรือ 0.4 x 105 เลขตัวคูณ คือ 0.4
- เลขยกกำลังสามารถเขียนได้ทั้งจำนวนเต็มบวก และจำนวนเต็มลบ เช่น 1.4 x 105 หรือ 1.4 x 10-5
- การกำหนดเลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์จะใช้จุดทศนิยมมาลดทอนหรือเพิ่มจำนวนตัวเลข แล้วค่อยนำจำนวนตัวเลขก่อนหรือหลังจุดทศนิยมมาเป็นเลขยกกำลัง ดังข้อ 7 และ 8
- ตัวเลขยกกำลังของเลขจำนวนเต็มจะมีค่าเป็นบวกเสมอ
- ตัวเลขยกกำลังของเลขทศนิยมจะมีค่าเป็นลบเสมอ
- ตัวเลขยกกำลังของเลขจำนวนเต็มจะมีจำนวนเท่ากับจำนวนตัวเลขหลังจุดทศนิยม เช่น 140 หากใช้จุดทศนิยมไว้ในตำแหน่งหลังเลข 1 คือ 1.40 ก็จะนับจำนวนตัวเลขได้ 2 ตัว และเมื่อเขียนเป็นเลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ ก็จะได้ 1.4 x 102
-
ตัวเลขยกกำลังของเลขทศนิยมจะมีจำนวนเท่ากับจำนวนตัวเลขหลังจุดทศนิยมไปถึงจุดทศนิยมของตำแหน่งใหม่ เช่น 0.00125 หากกำหนดจุดทศนิยมตำแหน่งใหม่เป็น 1.25 ก็จะนับเลขยกกำลังได้ 3 ตัว คือหลังจุดทศนิยมในตัวเลข 001 และเมื่อเขียนเป็นเลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ ก็จะได้ 1.25 x 10-2
ตัวอย่างการเขียนเลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์
ตัวอย่างที่ 1
ตัวเลข 0.0001 เขียนเลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์เป็น 1 x 10-4
ตัวอย่างที่ 2
ตัวเลข 0.1 เขียนเลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์เป็น 1 x 10-1
ตัวอย่างที่ 3
ตัวเลข 1020 เขียนเลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์เป็น 1.02 x 103
ตัวอย่างที่ 4
ตัวเลข 1200 เขียนเลขสัญกรณ์วิทยาศาสตร์เป็น 1.2 x 103