ครื้นเครงเพลงพื้นบ้าน
สรุปใจความสำคัญ
กล่าวถึงเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อพิกุล ได้ไปเที่ยวงานแสดงเพลงพื้นบ้านที่จัดขึ้นในสวนสาธารณะกับผู้หญิงที่ชื่อว่านวลเสน่ห์ บริเวณสานที่จัดงานมีเสียงกลองตีดังเป็นจังหวะเรียกให้คนมาเที่ยวชมงาน มีดวงไฟหลากสีสันสว่างไสวไปทั่วบริเวณ มีเวทีการแสดงที่ยกสูงจากพื้นสนามหญ้า ตกแต่งเวทีด้วยกองฟาง ล้อเกวียน และต้นกล้วย ที่กลางเวทีมีพวงมะโหดพวงใหญ่ห้อยอยู่กับดวงไฟ ช่วยเพิ่มบรรยากาศความเป็นลูกทุ่งท้องถิ่นไทย
อานวลเสน่ห์พาพิกุลไปดูการแสดงเพลงขอทาน ซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านที่ผู้ร้อง ร้องขอสิ่งของต่าง ๆ จากผู้ดูโดยมีหมวกเก่า ๆ วางอยู่ตรงหน้าผู้แสดง พอร้องเพลงจบ ทุกคนก็จะปรบมือและนำเงินไปใส่ในหมวกเก่า ๆ พิกุลเองบอกกับอาสาวด้วยความรู้สึกชื่นชมว่า “เธอไม่ได้ให้เงินเขาเพราะเขาร้องขอ หรือเพราะว่าเธอสงสารเขา แต่ที่เธอให้เพราะเป็นการตอบแทนการเล่นเพลงที่สนุกสนานของเราจะได้เป็นกำลังใจให้เขาสืบสานเพลงขอทานต่อไป”
อานวลเสน่ห์เล่าให้พิกุลฟังว่า “ท่านสมภารที่วัดเล่าให้ฟังว่า ‘เพลงขอทานนี้แต่ก่อนคำร่ำรวยเขาเล่นกัน ด้วยการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆ ทาหน้าตาให้มอมแมมแล้วไปเล่นเพลงขอทาน ใครขอได้มากเชื่อกันว่าปีนั้นจะร่ำรวยทำมาค้าขึ้น เมื่อถอดสภาพขอทานออกแล้วก็จะแต่งตัวมาท าบุญที่วัดใส่เครื่องประดับกันเต็มที่’ แต่อาคิดว่า เป็นการแก้เคล็ดเอาโชคลางว่า ชีวิตความเป็นอยู่จะได้พ้นความจนไปสู่ความร่ำรวยมากกว่า”
พิกุลสงสัยว่า มีเพลงพื้นบ้านอื่น ๆ อีกหรือไม่ อานวลเสน่ห์จึงบอกว่า “เพลงพื้นบ้านมีอยู่ทุกภาพ เช่น เพลงเรือ เพลงเกี่ยวข้าว เพลงพวงมาลัย เพลงอีแซว และเพลงฉ่อย ที่เล่นกันในภาคกลาง ร้องเล่นกันในสายน้ำ ในไร่นาในช่วงเทศกาลนักขัตฤกษ์ เนื้อหาของเพลงเป็นการกระเซ้าเย้าแหย่ต่อปากต่อคำของหนุ่มสาว ทำให้เกิดความสนุกสนาน ผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน เพลงพื้นบ้านจัดเป็นเพลงปฏิภากย์ มีฉันทลักษณ์เป็นกลอนหัวเดียว ผู้ที่เล่นเพลงพื้นบ้านได้มักมีปฏิภาณไหวพริบ สามารถโต้ตอบแบบฉับพลันทันทีทันใดได้”
พิกุลบอกกับอานวลเสน่ห์ว่าเธอเคยร้องเพลพื้นบ้านในห้องเรียนด้วยนั่นคือ เพลง ลา มะลิลา จากนั้นพิกุลก็ได้ชมการแสดงเพลงพื้นบ้านในชุดเพลงเต้นกำรำเคียว การแสดงชุดนี้ทำให้พิกุลคิดถึงบุญคุณของชาวนาที่มีต่อผู้กินข้าวทั่วแผ่นดินและเห็นถึงความฉลาดในการผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยให้กลับกลายเป็นความสนุกสนาน
การแสดงชุดสุดท้ายที่เป็นเพลงฉ่อย ทั้งพ่อเพลงและแม่เพลงต่างร้องเล่าเรื่องที่เรียนมา ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ว่ายากลำบากมาก แต่กลับเห็นเป็นเรื่องสนุกขบขัน จนถึงช่วงสุดท้ายของการแสดงฝ่ายชายก็สรุปได้อย่างประทับใจด้วยการกล่าวระลึกถึงพระคุณของคุณครูที่ได้อบรมสั่งสอนมาจนเขียนคล่องร้องได้จนถึงทุกวันนี้
ทุกคนเพลิดเพลินไปกับลีลาเพลงและเป็นลูกคู่รับอย่างสนุกสนาน หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งจนน้ำตาไหลเพลงพื้นบ้านสร้างความสนุกสนานครื้นเครงอย่างนี้นี่เอง ยังไม่ทันคลายเหนื่อยจากการหัวเราะ พิกุลก็ได้ยินเสียงโห่ร้องขึ้นสามลา โห่…..หิ้ว เสียงกลองยาวตีเป็นจังหวะนำหน้าขบวนนางรำย้อนยุค ซึ่งเป็นผู้หญิงสูงวัยทั้งนั้นที่ก้าวขึ้นสู่เวทีรำวง และพิกุลก็ต้องตะโกนเรียกออกมาสุดเสียง เพราะนางรำที่อยู่หน้าสุดนั้นคือคุณยายของเธอนั่นเอง
อ่านเสริม
เพลงพวงมาลัย
เอ้อระเหยลอยมา ยกมือวันทาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ไหว้คุณพระรัตนตรัย และเทพไท้อันมีฤทธิ์
ไหว้คุณบิดรมารดา ที่เลี้ยงลูกมารอดชีวิต
ทั้งคุณครูบาอาจารย์ ให้ความชำนาญรุ่งเรืองวิทย์
ฉันจะว่าเพลงพวงมาลัย ขอจงกล่าวได้สมดังจิต
พ่อช่อมะกอกพ่อดอกมะขวิด ขออย่าให้ติดขัดเอย
บทชาย :
เอ้อระเหยลอยมา ขอถามว่าเพลงพวงมาลัย
แต่แรกเริ่มเดิมที เพลงเกิดมีขึ้นที่ไหน
ร้องในฤดูเทศกาล หรือพิธีงานอย่างใด
เจ้าช่อมะม่วงพวงลำไย ขอจงแก้ไขหน่อย เอย
บทหญิง :
เอ้อระเหยลอยไป เพลงพวงมาลัยนั้นหรือจ๋า
ทราบว่าแรกเกิดที่เพชรบุรี การลอยอัคคีในคงคา
เพ็ญเดือนสิบสองลอยกระทง บูชาองค์พระศาสดา
ผ้าป่ากฐินและตรุษสงกรานต์ หรือคราวมีงานในท้องนา
เจ้าช่อมะกอกเจ้าดอกจำปา ร้องเล่นกันมานาน เอย ฯลฯ
อ่านเพิ่ม เติมความหมาย
|
คำศัพท์ |
ความหมาย |
|
แก้เคล็ด |
กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เชื่อกันว่าเป็น วิธีปัดเป่าหรือป้องกันภัยหรือเหตุร้ายที่จะมีมา |
|
โฆษก |
ผู้ประกาศ, ผู้โฆษณา |
|
ฉวัดเฉวียน |
อาการที่บินวนเวียนไปมาอย่างผาดโผน เช่น บินฉวัดเฉวียน, แล่นเร็วอย่างผาดโผน เช่น ขับรถฉวัดเฉวียน |
|
ฉันทลักษณ์ |
ลักษณะแบบแผนคําประพันธ์ประเภท ร้อยกรอง |
|
คำศัพท์ |
ความหมาย |
|
นักขัตฤกษ์ |
ฤกษ์ที่ขึ้นกับการโคจรของดวงจันทร์ว่าผ่าน ดาวนักษัตรหมู่ใดหมู่หนึ่งใน ๒๗ หมู่ รวมถึง ฤกษ์ที่ขึ้นกับการโคจรของดวงดาวในสุริยจักรวาลว่าผ่านดาวนักษัตรหมู่ใดหมู่หนึ่งใน ๒๗ หมู่, เรียกงานที่จัดขึ้นตามนักขัตฤกษ์ว่า งานนักขัตฤกษ์ |
|
ปฏิพากย์ |
การกล่าวตอบ, การพูดโต้ตอบ เชาวน์ไวในการกล่าวแก้หรือโต้ตอบ |
|
พิมาน |
คือวิมานที่อยู่หรือที่ประทับของเทวดา |
|
ไมโครโฟน |
เครื่องที่ใช้สําหรับขยายเสียงให้ดังขึ้น |
อธิบายเพิ่ม เติมความรู้
เพลงพื้นบ้าน
เป็นเพลงที่นิยมร้องเล่นเพื่อความสนุกสนานรื่นเริงในยาม ที่เสร็จจากงานหรือในงานประเพณี เช่น งานเกี่ยวข้าว งานสงกรานต์ งานทําบุญต่างๆ ( เพลงพื้นบ้านมีในทุกถิ่นทุกภาค เช่น ภาคเหนือ มี ค่าวซอ ค่าวธรรม ฯลฯ ภาคกลาง มี เพลงฉ่อย เพลงพวงมาลัย เพลงเกี่ยวข้าว เพลงอีแซว ฯลฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี ลําแคน ลําเพลิน ลิเกโคราช ฯลฯ ภาคใต้ มี ลิเกฮูลู หนังตะลุง โนรา ฯลฯ
การกําหนดจํานวนคํา การใช้คําสัมผัส และลักษณะการร้องของเพลงพื้นบ้าน จะต่างกันที่ทำนองและการร้องรับของลูกคู่ เช่น เพลงพวงมาลัย จะ ขึ้นต้นเพลงในวรรคแรกว่า “เอ้อระเหยลอย” คําที่ต่อจะเป็นคําใดก็ได้ เช่น เอ้อระเหยลอยมา เอ้อระเหยลอยไป เอ้อระเหยลอยล่อง และจบด้วย วรรคแรกของบทสุดท้ายว่า “พวงเจ้าเอ๋ย…” หรือ “เจ้าช่อ…” คําที่ต่อจะเป็น คําที่สัมผัสกับท้ายวรรคที่สองของบทก่อนบทสุดท้าย และลงท้ายวรรคที่สอง ของบทสุดท้ายว่า “เอย”
การร้องเล่นโต้ตอบระหว่างชาย – หญิง ลูกคู่ที่จะรับคํากลอนแรก “เอ้อระเหย” และคํากลอนสุดท้าย “พวงเจ้าเอ๋ย…” หรือ “เจ้าช่อ…” ทั้งคํากลอน ส่วนคํากลอนอื่นลูกคู่จะรับ ๒ คําท้ายของวรรคหลังเท่านั้น
ตัวอย่าง เพลงพวงมาลัย
เอ้อระเหยลอยลม ชั้นประถมปีที่หกเศร้าใจ ๑ คํากลอน
ต้องจากเพื่อนที่แสนรัก ยากจะหักความอาลัย ๑ คํากลอน
ต้องจากครูบาอาจารย์ สถานศึกษาให้ร้าวฤทัย ๑ คํากลอน
จากกันเพราะเราเรียนจบ แล้วจะพบกันได้เมื่อไร ๑ คํากลอน
พวงเจ้าเอ๋ยมาลัย ตัวจากไปไกลใจไม่ห่างเอย…. (ลูกคู่รับ)
เพลงพวงมาลัยบทหนึ่งจะมีความยาวกี่คํากลอนก็ได้
๑ คํากลอนมี ๒ วรรค ในแต่ละวรรคมี ๕ คํา (อาจใช้ ๗ คํา หรือ ๘ คํา ได้) ยกเว้นวรรคแรกของบทต้น จะมี ๕ คํา
คําสัมผัส คําสุดท้ายของวรรคหน้า สัมผัสกับคําที่ ๑, ๒, ๓ หรือ ๔ ของวรรคหลัง คําท้ายของวรรคหลังทุกคํากลอนจะมีเสียงสระเดียวกันจนจบบทเพลง