Course Content
หน่วยที่ 4 : ความน่าจะเป็น
0/2
คณิตศาสตร์ ค 23102 มัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2
About Lesson

วิธีการแก้สมการเชิงเส้นสองตัวแปร

วิธีที่ 1  ใช้วิธีแทนที่

1. ย้ายตัวแปรไปที่อีกข้างของสมการ
  •  หาค่า x (หรือหาค่าตัวแปรอื่นใดก็ตาม) ในสมการใดสมการหนึ่ง ตัวอย่างสมการ คือ 4x + 2y = 8 และ 5x + 3y = 9
  • เริ่มดูแค่สมการแรกก่อน
  • เขียนสมการใหม่โดยการนำ 2y ลบออกจากทั้งสองข้างของสมการ ก็จะได้เป็น 4x = 8 – 2y
  • การแทนที่มักจะต้องใช้ความรู้เรื่องเศษส่วนในภายหลังด้วย เราอาจลองใช้วิธีกำจัดตัวแปรซึ่งอยู่ในหัวข้อต่อไปก็ได้ หากเราไม่อยากคำนวณเศษส่วนให้ยุ่งยาก

2. หารทั้งสองข้างของสมการเพื่อ”หาค่า x.”
  • พอมีพจน์ x (หรือตัวแปรที่เรากำลังหาค่าอยู่) อยู่ที่ข้างหนึ่งของสมการแล้ว
  • หารทั้งสองข้างของสมการเพื่อให้เหลือตัวแปรเพียงตัวเดียว
  • จากตัวอย่างที่ยกมาเมื่อทำให้เหลือตัวแปรเพียงตัวเดียว ก็จะได้เป็น:
    • 4x = 8 – 2y
    • (4x)/4 = (8/4) – (2y/4)
    • x = 2 – ½y

3. แทนค่ากลับไปในอีกสมการหนึ่ง
  • เราต้องแทนค่าที่ได้กลับไปในอีกสมการหนึ่ง ไม่ใช่สมการแรกที่เราใช้ไปแล้ว
  • แทนค่าตัวแปรที่เราได้จากสมการแรกลงในสมการที่สอง
  • เราก็จะเหลือตัวแปรแค่ตัวเดียว
  • จากตัวอย่างที่ยกมาขั้นตอนการแทนค่ากลับไปในอีกสมการหนึ่งมีดังนี้:
    • เรารู้ว่า x = 2 – ½y
    • สมการที่สองซึ่งยังไม่ถูกเขียนใหม่คือ 5x + 3y = 9
    • ในสมการที่สองแทนค่า x ด้วย “2 – ½y” ก็จะได้เป็น »» 5(2 – ½y) + 3y = 9

4. หาค่าของตัวแปรที่เหลือ 

  • ตอนนี้สมการของเราเหลือแค่ตัวแปรตัวเดียวแล้ว
  • ใช้กลวิธีทางพีชคณิตธรรมดาหาค่าตัวแปรที่เหลืออยู่
  • ถ้าตัวแปรหายไป ข้ามไปขั้นตอนสุดท้ายได้เลย
  • ไม่อย่างนั้นเราจะได้คำตอบของตัวแปรเดียว:
    • 5(2 – ½y) + 3y = 9
    • 10 – (5/2)y + 3y = 9
    • 10 – (5/2)y + (6/2)y = 9
    • (ถ้าเราไม่เข้าใจขั้นตอนนี้ ให้ศึกษาวิธีการบวกเศษส่วน เราต้องรู้วิธีการบวกเศษส่วน หากต้องใช้วิธีแทนที่ ถึงแม้จะไม่ต้องใช้วิธีบวกเศษส่วนเสมอไปก็ตาม)
    • 10 + ½y = 9
    • ½y = -1
    • y = -2

5. ใช้คำตอบหาค่าของตัวแปรอีกตัวหนึ่ง 

  • ใส่คำตอบที่ได้กลับเข้าไปในสมการเดิมสักสมการหนึ่งเพื่อจะได้รู้ค่าตัวแปรอีกตัว
  • เรารู้ว่า y = -2
  • เลือกหนึ่งในสมการเดิมคือ 4x + 2y = 8 (เราสามารถใช้สมการเดิมสมการใดก็ได้ในขั้นตอนนี้)
  • นำ -2 ไปแทนที่ y ก็จะได้เป็น: 4x + 2(-2) = 8
    • 4x – 4 = 8
    • 4x = 12
    • x = 3

6. ดูผลลัพธ์ที่ได้เมื่อตัวแปรทั้งสองหายไป 
  • เมื่อเราใส่ x = 3y+2 หรือคำตอบเดียวกันนี้ในสมการอีกสมการหนึ่ง
  • เราพยายามที่จะได้สมการที่มีตัวแปรแค่ตัวเดียว แต่บางครั้งก็ลงเอยด้วยการได้สมการที่ไม่มี ตัวแปรเลย
  • ตรวจคำตอบอีกครั้งและดูให้มั่นใจว่าเราใส่สมการ (ที่เขียนขึ้นใหม่) ลงในสมการที่สอง ไม่ใช่ใส่แค่ในสมการที่หนึ่งอีกครั้งเท่านั้น
  • ถ้ามั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน เราก็จะได้ผลลัพธ์ใดผลลัพธ์หนึ่ง
    • ถ้าสมการของเราไม่มีตัวแปรและไม่เป็นจริง (ตัวอย่างเช่น 3 = 5) แสดงว่าสมการนี้ไม่มีคำตอบ (ถ้าเราเขียนกราฟของสมการทั้งสอง เราจะเห็นว่าเส้นกราฟของสมการทั้งสองขนานกันและไม่มีทางตัดกันได้)
    • ถ้าสมการของเราไม่มีตัวแปรและเป็น จริง (ตัวอย่างเช่น 3 = 3) สมการนี้มีคำตอบนับไม่ถ้วน สมการสองสมการนี้มีค่าเท่ากันจริงๆ (ถ้าเราเขียนกราฟของสมการสองสมการนี้ เราจะเห็นว่าสมการทั้งสองอยู่บนเส้นเดียวกัน)

วิธีที่ 2 วิธีกำจัดตัวแปร

1. หาตัวแปรที่สามารถหักล้างกันได้ 

  • บางครั้งสมการจะ”หักล้าง” ตัวแปรเมื่อนำมาบวกกัน
    • ตัวย่างเช่น เมื่อเรานำสมการ 3x + 2y = 11 และ 5x – 2y = 13 มารวมกัน
    • “+2y” และ “-2y” จะหักล้างกัน
    • เอา “y” ทุกตัวออกจากสมการ
  • ดูสมการในโจทย์ที่ให้มาและหาสิว่ามีตัวแปรที่จะสามารถหักล้างกันแบบนี้ได้ไหม ถ้าไม่มีตัวแปรที่สามารถหักล้างกันได้เลย อ่านคำแนะนำในขั้นตอนต่อไป

2. คูณสมการหนึ่งเพื่อตัวแปรจะได้หายไป
  •  (หากตัวแปรถูกกำจัดออกไปแล้ว ข้ามขั้นตอนนี้ได้เลย)
  • ถ้าสมการไม่มีตัวแปรที่สามารถกำจัดออกไปได้โดยวิธีปกติ เปลี่ยนสมการใดสมการหนึ่งเพื่อให้สามารถกำจัดตัวแปรออกไปได้ โดยทำตามขั้นตอนของตัวอย่างด้านล่างนี้
    • ระบบสมการของเราคือ 3x – y = 3 และ -x + 2y = 4
    • เปลี่ยนสมการแรกเพื่อให้ตัวแปร y หายไป (เราจะเลือก x แทนก็ได้ เพราะสุดท้ายก็จะได้คำตอบเหมือนกันอยู่ดี)
    • – y ในสมการแรกต้องหักออกด้วย + 2y ในสมการที่สอง เราสามารถทำให้ตัวแปรทั้งสองหักล้างกันได้ด้วยการนำ – y มาคูณ 2
    • นำ 2 คูณทั้งสองข้างของสมการแรก ก็จะได้เป็น 2(3x – y)=2(3) ฉะนั้นผลคูณที่ได้คือ 6x – 2y = 6ตอนนี้ – 2y ในสมการแรกจะถูกหักล้างด้วย +2y ในสมการที่สอง

3. นำสมการทั้งสองมารวมกัน 
  • เมื่อจะนำสมการทั้งสองมารวมกัน
  • ถ้าเราตั้งสมการถูกต้อง ตัวแปรก็จะหายไป นี้เป็นตัวอย่างที่ใช้สมการเดียวกับสมการที่ใช้ในขั้นตอนที่แล้ว
    • สมการของเราคือ 6x – 2y = 6 และ -x + 2y = 4
    • รวมข้างซ้ายของสมการ 6x – 2y – x + 2y = ?
    • รวมข้างขวาของสมการ 6x – 2y – x + 2y = 6 + 4

4. หาค่าของตัวแปรที่เหลืออยู่หนึ่งตัว
  • ทำให้สมการที่รวมกันแล้วอยู่ในรูปอย่างง่าย :
    • สมการของเราคือ 6x – 2y – x + 2y = 6 + 4.
    • จับกลุ่มที่มีตัวแปร x และ y อยู่ด้วยกัน ก็จะได้เป็น: 6x – x – 2y + 2y = 6 + 4.
    • ทำให้สมการอยู่ในรูปอย่างง่าย ก็จะได้เป็น: 5x = 10
    • เมื่อหาค่า x ก็จะได้เป็น: (5x)/5 = 10/5 ฉะนั้น x = 2

5. หาค่าของตัวแปรอีกตัว

  • ใส่ค่าที่ได้ลงไปในสมการดั้งเดิมสมการหนึ่ง แล้วเราจะได้ค่าของตัวแปรอีกตัวหนึ่ง จากตัวอย่างที่ยกมามีขั้นตอนการหาค่าของตัวแปรอีกตัวดังนี้:
  • เรารู้ว่า x = 2 และสมการดั้งเดิมสมการหนึ่งของเราคือ 3x – y = 3
  • ใส่ 2 แทน x ก็จะได้เป็น 3(2) – y = 3
  • หาค่า y ในสมการ ก็จะได้เป็น 6 – y = 3
  • 6 – y + y = 3 + y ฉะนั้น 6 = 3 + y
  • 3 = y

6. ดูผลลัพธ์ที่ได้เมื่อตัวแปรทั้งสองหายไป
  • บางครั้งการรวมสมการก็ทำให้เราได้สมการที่เข้าใจยากหรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ช่วยให้เราแก้สมการได้
    • ถ้าสมการที่รวมกันไม่มีตัวแปรและไม่เป็นจริง (อย่างเช่น 2 = 7) แสดงว่าไม่มีคำตอบที่นำมาใช้ได้กับทั้งสองสมการ (ถ้าเราเขียนกราฟของสมการ เราจะเห็นว่าเส้นกราฟของทั้งสองสมการขนานและไม่มีทางตัดกัน)
    • ถ้าสมการที่นำมารวมกันไม่มีตัวแปรและเป็นจริง (อย่างเช่น 0 = 0) แสดงว่าสมการนั้นมีคำตอบนับไม่ถ้วน สมการทั้งสองนั้นที่จริงแล้วเป็นสมการเดียวกัน (ถ้าเราเขียนกราฟของสมการทั้งสอง เราจะเห็นว่าสมการอยู่บนเส้นตรงเดียวกัน )

วิธีที่ 3 ใช้วิธีเขียนกราฟของสมการ

1. เขียนกราฟเมื่อโจทย์กำหนดเท่านั้น
  • กราฟทั้งสองสมการและหาจุดที่สมการทั้งสองตัดกัน ค่า x และ y ที่จุดนี้จะให้ค่าของ x และค่าของ y ในระบบสมการ
2. แก้ทั้งสองสมการเพื่อหาค่า y
  • แก้ไปทีละสมการ
  • ใช้พีชคณิตเพื่อแปลงสมการแต่ละสมการให้อยู่ในรูป “y = __x + __”จากตัวอย่างที่ยกมามีขั้นตอนการแก้สมการดังนี้:
    • สมการแรกคือ 2x + y = 5 เปลี่ยนสมการนี้เป็น y = -2x + 5
    • สมการที่สองคือ -3x + 6y = 0 เปลี่ยนสมการนี้เป็น 6y = 3x + 0 จากนั้นทำให้สมการอยู่ในรูปอย่างง่ายเป็น y = ½x + 0
    • ถ้าทั้งสองสมการเป็นสมการเดียวกัน เส้นตรงจะ “ตัดกัน” ให้เขียนว่าคำตอบนับไม่ถ้วน
3. วาดแกนพิกัด
  •  วาด “แกน y” ซึ่งเป็นแกนในแนวตั้งและ “แกน x” ซึ่งเป็นแกนในแนวนอน
  • ใส่ตัวเลขโดยเริ่มจากจุดที่แกนทั้งสองตัดกัน เขียนเลขตามลำดับโดยเริ่มจาก 1, 2, 3, 4 … ไปตามฝั่งบนของแนวแกน y และฝั่งขวาของแนวแกน x ใส่ตัวเลขโดยเริ่มจาก -1, -2,… ไปตามฝั่งล่างของแนวแกน y และฝั่งซ้ายของแนวแกน x
  • ถ้าไม่มีกระดาษกราฟ ใช้ไม้บรรทัดช่วยในการวาดแกนพิกัดเพื่อตัวเลขจะได้มีระยะห่างเท่ากัน
  • ถ้าเราใช้เลขที่มีค่าเยอะหรือเลขทศนิยม อาจต้องแบ่งเส้นกราฟในอัตราส่วนที่ต่างออกไป (ตัวอย่างเช่น 10, 20, 30 หรือ 0.1, 0.2, 0.3 แทน 1, 2, 3)
4. วาดจุดแสดงระยะตัดแกน y ของเส้นกราฟแต่ละเส้น
  • พอสมการของเราอยู่ในรูปแบบ y = __x + __ เราสามารถเริ่มเขียนกราฟสมการนี้ได้โดยวาดจุดตรงที่เส้นตัดกับแกน y ค่า y เท่ากับตัวเลขสุดท้ายของสมการนี้เสมอ
  • ในตัวอย่างก่อนหน้านี้เส้นกราฟ (y = -2x + 5) ตัดแกน y ที่ 5 เส้นกราฟอีกเส้นหนึ่ง (y = ½x + 0) ตัดที่ 0(จุดตัดคือ (0,5) และ (0,0) บนกราฟ)
  • แนะนำให้ใช้ปากกาหรือสีไม้คนละสีกัน เวลาวาดเส้นกราฟเพื่อให้เห็นความแตกต่างของเส้นกราฟได้อย่างชัดเจน
5. ใช้ความชันวาดเส้นกราฟ 
  • ในสมการรูปแบบ y = __x + __ ตัวเลขหน้า x คือความชันของเส้นกราฟ ทุกครั้งที่ค่า x เพิ่มขึ้นทีละหนึ่ง ค่า y จะเพิ่มขึ้นตามปริมาณความชัน ใช้ข้อมูลนี้วาดจุดบนกราฟของแต่ละเส้น เมื่อ x = 1 (อีกวิธีหนึ่งคือแทน x = 1 ในแต่ละสมการและหาค่า y)
  • ในตัวอย่างของเราเส้นกราฟของสมการ y = -2x + 5 มีความชันเท่ากับ -2 ที่จุด x = 1 เส้นขยับลง 2 จากจุดที่ x = 0 ให้วาดส่วนของเส้นตรงระหว่าง (0,5) และ (1,3)
  • เส้นกราฟของ y = ½x + 0 มีความชัน ½ ที่จุด x = 1 เส้นขยับขึ้น ½ จากจุดที่ x=0 ให้วาดส่วนของเส้นตรงระหว่าง (0,0) และ (1,½)
  • ถ้าเส้นกราฟมีความชันเท่ากัน เส้นกราฟจะไม่มีทางตัดกัน ฉะนั้นระบบสมการนี้จึงไม่มีคำตอบ เขียนว่าไม่มีคำตอบ

6. วาดเส้นกราฟจนกว่าเส้นกราฟจะตัดกัน
  •  ลองดูที่กราฟของเรา ถ้าเส้นกราฟได้ตัดกันแล้ว ข้ามขั้นตอนนี้ไปขั้นตอนต่อไปได้เลย ถ้าเส้นกราฟยังไม่ตัดกัน ให้ตัดสินใจดำเนินการดังต่อไปนี้โดยดูจากลักษณะของเส้นกราฟ
  • ถ้าเส้นกราฟมุ่งเข้าหากัน ให้วาดจุดไปเรื่อยๆ ในทิศทางนั้น
  • ถ้าเส้นกราฟแยกจากกัน ให้ย้อนกลับไปวาดจุดในอีกทิศทางหนึ่ง เริ่มที่จุด x = -1
  • ถ้าเส้นกราฟไม่มีจุดไหนใกล้กันเลย ลองข้ามไปวาดจุดในระยะที่ไกลมากกว่านี้อย่างเช่น จุดที่ x = 10
7. หาคำตอบที่จุดตัด
  • พอเส้นกราฟสองเส้นตัดกัน ค่า x และ y ที่จุดนั้นคือคำตอบของสมการ
  • ในตัวอย่างของเราเส้นกราฟสองเส้นตัดกันที่ (2,1)
  • ฉะนั้นคำตอบของสมการคือ x = 2 และ y = 1
  • ในระบบสมการบางระบบเส้นกราฟจะตัดกันที่ค่าระหว่างจำนวนเต็มสองจำนวนและหากกราฟของเราไม่แม่นยำอย่างยิ่ง ก็จะบอกได้ยากว่าเส้นกราฟตัดกันที่จุดไหน ถ้าไม่สามารถให้คำตอบที่แม่นยำได้ เราสามารถเขียนคำตอบได้ว่า “x อยู่ระหว่าง 1 และ 2” หรือใช้วิธีแทนที่หรือกำจัดตัวแปรเพื่อหาคำตอบที่แม่นยำ

0% Complete